ความเป็นมาในอดีต
ในทางประวัติศาสตร์
จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีประวัติความเป็นมาสืบแต่เมืองกาญจนดิษฐ์ถ้ากล่าวถึงในเขต
จังหวัดสุราษฎร์ธานีปัจจุบันก็มีเมืองโบราณเก่าแก่หลายเมืองเนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์เหมาะสมที่จะเป็นที่ตั้งชุมชน
กระจายอยู่หลายจุด
จึงเกิดเมืองโบราณอยู่รอบบริเวณอ่าวบ้านดอน
ได้แก่เมืองต่าง ๆ ดังนี้....
1. เมืองไชยา
เป็นเมืองโบราณตั้งอยู่ในคาบสมุทร
แหลมมลายูตอนเหนือสุด
ตั้งแต่อ่าวชุมพรถึงอ่าวบ้านดอน
มีศูนย์กลางอยู่แถบที่ราบลุ่มคลองไชยา
เป็นเมืองที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่
10
อารยธรรมที่สั่งสมมามีตั้งแต่ครั้งศาสนาพราหมณ์เข้ามาเจริญรุ่งเรืองในพุทธศตวรรษที่
11 - 14
ขณะเดียวกันพุทธศาสนาแบบเถรวาทก็เข้ามาเจริญควบคู่อยู่ด้วยกัน
ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 11 - 16
และเมืองไชยามีชื่อเสียงมาก
เมื่องครั้งอาณาจักรศรีวิชัยรุ่งเรืองในพุทธศตวรรษที่
13 - 17
โดยพุทธศาสนาลัทธิมหายานได้เข้ามาเจริญแพร่หลาย
หลังจากนี้เมืองไชยาก็ยังคงมีอยู่แต่ลดบทบาทความสำคัญ
ลงไปมาก
เมื่องแรงกระตุ้นจากวัฒนธรรมและการเมืองจากภายนอกเสื่อมลงไป
เมืองไชยาก็มีพัฒนาการของตัวเองสืบต่อมาและมีชื่อเเรียกว่า
"เมืองบันไทยสมอ"
อันเป็นเมือง 12 นักษัตร
ของเมืองนครศรีธรรมราช
2.
เมืองเวียงสระ
เป็นเมืองโบราณอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเมืองไชยา
แต่มีอายุสั้นกว่า
ตั้งอยู่ในแถบที่ราบลุ่ม
แม่น้ำตาปีและแม่น้ำพุมดวง
มีศูนย์กลางอยู่ที่ตำบลเวียงสระ
อำเภอเวียงสระ
ริมฝั่งขวาของแม่น้ำตาปีหรือแม่น้ำหลวง
เป็นเมืองที่มีอายุอยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่
11 - 15 หรือ 16
หลังจากนี้ก็ดูจะเลิกร้างไป
เนื่องจากสภาพสถานที่ตั้งเมืองไม่เหมาะสม
อยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดินใหญ่
การคมนาคมติดต่อกับเมืองอื่นลำบาก
โดยเฉพาะการติดต่อกับเมืองอื่นทางทะเลทำไม่ได้คล้ายกับเป็นเมืองปิด
แม้จะมีเมืองท่าอยู่ปากอ่าว
แต่ก็ยังอยู่ไกลไปมาลำบาก
การติดต่อค้าขายให้เจริญ
ขยายตัวเป็นเมืองใหญ่ไม่ได้
อีกทั้งโรคภัยไข้เจ็บก็มิใช่น้อย
จึงต้องอพยพเคลื่อนย้ายไปอยุ่ที่อื่น
ภายหลังส่งผู้คนกลับมาบุกเบิกอีก
ก็เป็นเพียงการขยายชุมชน
สร้างสมเสบียงกรัง
และเพื่อแสวงหาโภคทรัพย์บำรุงบ้านเมือง
3. เมืองคีรีรัฐนิคม เป็นเมืองขนาดเล็ก ชุมชน เกิดขึ้นมาแต่โบราณแล้วเดิมเป็นเมืองบริวารของเมืองเวียงสระ เรียกกันว่าเมือง "ธาราวดี" บ้าง "คงคาวดี" บ้าง ซึ่งชื่อเมืองนี้คงตั้งตามนามบ้านและรูปลักษณะของภุมิประเทศนั่นเอง เพราะบริเวณท้องที่ตั้งเมืองมีแม่น้ำไหลผ่านวกเวียนอยู่ระหว่างภูเขาและเมืองเดิมตั้งอยู่ที่บ้านน้ำรอบ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ว่าเมืองคีรีรัฐนิคม เพราะมีภูเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนตั้งอยู่โดยรอบท้องที่ และสายน้ำไหลวกเวียนอยู่ระหว่างภูเขาตลอดสายราว พ.ศ.2439จึงได้ยุบลงเป็นอำเภอและเรียกอำเภอคีรีรัฐนิคม มีโบราณสถานที่เก่าแก่ไม่มากนัก เนื่องจากมิได้เป็นเมืองศูนย์กลางทำหน้าที่เป็นเมืองหน้าด่านควบคุมเส้น ทางเดินบกข้ามแหลมมลายู ระหว่างฟากทะเลตะวันตกกับฟากทะตะวันออก จึงพบโบราณศิลปะวัตถุน้อยคือ พบเทวรูปพระนารายณ์ศิลปที่ถ้ำสิงขรและพบพระพิมพ์ดินดิบแบบศรีวิชัยแถบถ้ำในเขา เขตอำเภอพนม และได้พบกลองมโหระทึกวัฒนธรรมดองซอนในบริเวณใกล้เคียงบ้าง เป็นต้น
4. เมืองพุนพิน เป็นเมืองขนาดเล็กเช่นเดียวกับเมืองคีรีรัฐนิคม แต่ก็จัตวามีขนาดใหญ่และมีความสำคัญกว่าเดิมเรียกว่า "พุนพิน" เป็นเมืองที่มีอายุรุ่นเดียวกับเมืองเวียงสระและเมืองไชยา เป็นเมืองบริวารของเมืองเวียงสระ ทำหน้าที่เป็นเมืองท่าติดต่อค้าขายทางทะเล เมืองพุนพินมีความสำคัญมากเนื่องจากตั้งอยู่ตรงชุมทาง หรือศูนย์กลางคมนาคมถึง3 - 4 ทาง คือเส้นทางเดินเรืองติดต่อกับเมืองคีรีรีฐนิคมตามลำน้ำพุมดวง ติดต่อกับเมืองเวียงสระพระแสง และคลองอิปันคลองสินปีนข้ามไปคลองท่อมหรือฝั่งทะเลตะวันตก ได้ติดต่อกับเมืองต่าง ๆ แถบชายฝั่งทะเล เช่น ไชยา นครศรีธรรมราช เป็นต้น เมืองพุนพินจึงเหมาะที่จะเป็นเมืองท่าเรือสำหรับรับส่งสินค้าและมีชื่อเสียงมากจนนักจดหมายเหตุจีนได้บันทึก กล่าวถึงไว้ที่เรียกว่า "ท่าข้าม" ก็อยู่ตรงจุดศูนย์กลางนี้ด้วย ตัวเมืองพุนพินไม่มีคันคูเมือง เนื่องจากภุมิประเทศส่วนมากเป็นที่ราบ เมืองจึงตั้งอยู่บริเวณดดยรอบปากน้ำสามแพรกกระจายออกไป เนื่องจากเนื้อที่การเพาะปลูกทำนามีจำกัด ฤดูหลากมักจะท่วมเสียหาย ศาสนสถานสำคัญจึงมักสร้างขึ้นตามตีนเขาเชิงเขา หรือบนควนภูเขา เช่น บนควนท่าข้าม (สวนสราญรมย์) เขาศรีวิชัย เมืองพุนพินคงจะเป็นเมืองท่าเรือติดต่อค้าขายทางทะเลมีชื่อมานาน ตรงกับชื่อเมือง พาน - พาน หรือ พัน - พัน ในจดหมายเหตุจีน และเป็นท่าเรือใหญ่ประจำอ่าวบ้านดอน จึงได้พบโบราณศิลปวัตถุบริเวณนี้เป็นอันมาก
5. เมืองท่าทอง
เป็นเมืองค่อนข้างใหญ่
มีการติดต่อและมีความสัมพันธ์กับเมืองคีรีรัฐนิคมด้วย
เดิมทีเดียวก็เป็นเมืองขนาดเล็ก
ต่อมาภายหลังเจริญเติบโตรวดเร็วมาก
เพราะมีพื้นที่ทำเกษตรกรรมมาก
และได้ติดต่อใกล้ชิดกับเมืองนครศรีธรรมราช
โดยเป็นเมือง 12
นักษัตรของนครศรีธรรมราชด้วย
จึงมีชื่อเสียงอีกชื่อหนึ่งว่า
"เมืองสะอุเลา"
และเข้าใจว่าอาจจะเป็นชื่อเมืองเดิมก็ได้
เนื่องจากจุดที่ตั้งเป็นตัวเมืองท่าทองนั้นดูจะตั้งใหม่ภายหลังที่บ้านสะท้อนเมืองท่าทองเก่าหรือเมืองสะอุเลา
เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ตลอดลุ่มน้ำท่าทองอุแท
และบริเวณที่ราบลุ่มคลองกะแดะควบคู่กัน
จุดศูนย์กลางเดิมคงจะอยุ่แถว ๆ
บ้านข้อศอก ตำบลท่าอุแท
เนื่องจากมีโบราณวัตถุสถานสำคัญรุ่นเก่าอยู่มาก
แต่น่าเสียดายที่ชำรุดสูญหายถูกทำลายไปมากต่อมาก
อายุของเมืองท่าทองคงอยุ่ที่ราวพุทธศตวรรษที่
18 - 19 เป็นต้นมา
แต่โดยแท้จริงแล้วเมืองท่าทองเก่ามีอายุสูงกว่านี้
แต่เนื่องจากชุมชนกระจายอยุ่หลายแห่ง
และอายุไม่เท่ากัน กล่าวคือ
ในท้องที่อำเภอกาญจนดิษฐ์ในปัจจุบัน
เราได้พบโบราณศิลปวัตุมากมายหลายยุคหลายสมัย
นับตั้งแต่สมัยทวารวดีเป็นต้นมา
จากการสำรวจพบว่าบริเวณตำบลช้างขวาและตำบลเขตใกล้เคียงเป็นชุมชนเก่าแก่
และที่วัดถ้ำคูหา
มีศิลปกรรมสมัยทวารวดีจำนวนมากและสำคัยยิ่ง
ฝีมือช่างสูง
และตามถ้ำตามเขาในท้องที่อำเภอกาญจนดิษฐ์ได้พบพระพิมพ์แบบทวารวดีศรีวิชัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ย่อมเป็นเครื่องยืนยันว่า
เมืองสะอุเลาหรือเมืองท่าทอง
เป็นเมืองเก่ากว่าที่เข้าใจกันแต่เดิม
และเมืองท่าทองย่อมหมายถึงลุ่มน้ำกะแดะด้วย
ในสมัยกรุงธนบุรีเมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชปราบพม่าข้าศึกราบคาบหมดแล้ว
แต่หลวงนายสิทธิ์
ปลัดเมืองนครศรีธรรมราชซึ่งตั้งตัวเป็นอิสระ
นับตั้งแต่เสียกรุงศรีอยุธยาและไม่ยอมอ่อนน้อมต่อพระเจ้ากรุงธนบุรี
ดังนั้นใน พ.ศ. 2312
จึงโปรดให้กองทัพบกยกลงมาทางชุมพร
ไชยา ยกทัพข้ามแม่น้ำ
หลวงที่บ้านท่าข้ามส่วนทัพเมืองนครศรีธรรมราชออกมารับทัพ
กรุงโดยตั้งค่ายมั่นที่บ้านท่าหมากอำเภอบ้านนาสารการทำศึก-สงครามกันย่อม
ทำให้ผู้คนพลเมือง
ในท้องถิ่นต้องกระทบกระเทือนเดือดร้อนด้วย